ระวัง! น้ำมันทำอาหาร อาจเป็นภัยเงียบต่อสุขภาพของคุณ
หลายคนพยายามเลือกน้ำมันคุณภาพสูงเพื่อการปรุงอาหารที่ดีต่อสุขภาพ แต่รู้หรือไม่ว่าการเลือกน้ำมันผิดประเภทอาจกลายเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
จากข้อมูลทางการแพทย์พบว่า ในไต้หวัน ผู้ป่วยมะเร็งปอดที่ไม่สูบบุหรี่มีสัดส่วนสูงถึง 53% ซึ่งสูงกว่าในสหรัฐอเมริกาและออสเตรเลียอย่างมาก สาเหตุสำคัญอาจมาจากการเลือกใช้น้ำมันปรุงอาหารที่ไม่เหมาะสม
นายแพทย์เสี่ยวเจี๋ยเจี้ยน แพทย์เวชศาสตร์ครอบครัวและแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการลดน้ำหนักชาวไต้หวัน เล่าถึงกรณีของคุณป้าจู ซึ่งเป็นแม่บ้านที่รักการทำอาหารมาก แต่กลับตรวจพบว่าเป็นมะเร็งปอดระยะเริ่มต้น ทั้งที่คุณป้าใส่ใจสุขภาพ ไม่สูบบุหรี่ และมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตปกติ เมื่อสืบสาวราวเรื่องพบว่าปัญหาอยู่ที่นิสัยการทำอาหารของคุณป้า ซึ่งมักใช้น้ำมันมะกอกสกัดเย็นชนิดเกรดสูงในการผัดอาหาร
แท้จริงแล้ว น้ำมันมะกอกสกัดเย็นมีจุดเกิดควันต่ำ (ประมาณ 160-190 องศาเซลเซียส) เหมาะสำหรับการปรุงอาหารแบบเย็นหรือการทำอาหารที่ใช้ความร้อนต่ำ หากต้องการผัดอาหาร ควรเลือกใช้น้ำมันมะกอกกลั่นบริสุทธิ์ซึ่งมีจุดเกิดควันสูงกว่า (ประมาณ 230 องศาเซลเซียส)
อย่างไรก็ตาม แม้น้ำมันมะกอกกลั่นบริสุทธิ์จะทนความร้อนได้ดีกว่า แต่ก็ไม่ควรใช้ในการทอดอาหารหรือปรุงอาหารที่ใช้ความร้อนสูงเป็นเวลานาน เพราะอาจก่อให้เกิดสารอันตราย เช่น อะคริลาไมด์หรือสารประกอบโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและมะเร็ง
นายแพทย์เสี่ยวแนะนำว่า สำหรับการผัดอาหาร ควรเลือกน้ำมันที่มีจุดเกิดควันสูง เช่น น้ำมันอะโวคาโดซึ่งมีจุดเกิดควันสูงถึง 271 องศาเซลเซียส หรือน้ำมันเมล็ดชาซึ่งมีจุดเกิดควันสูงถึง 250 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ยังอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 9 วิตามินอี และสารโพลีฟีนอล ซึ่งช่วยลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยการย่อยอาหาร และเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
สำหรับอาหารประเภทสลัดหรืออาหารที่ไม่ต้องผ่านความร้อน น้ำมันมะกอกและน้ำมันลินสีดเป็นตัวเลือกที่ดี โดยเฉพาะน้ำมันลินสีดซึ่งมีโอเมก้า 3 สูง ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย
ท้ายที่สุด การเลือกน้ำมันที่เหมาะสมสำหรับการปรุงอาหารแต่ละประเภทไม่เพียงช่วยรักษารสชาติอาหาร แต่ยังเป็นการดูแลสุขภาพในระยะยาวอีกด้วย อย่าลืมใส่ใจเลือกน้ำมันให้เหมาะกับวิธีการปรุงอาหารเพื่อสุขภาพที่ดีของคุณและครอบครัว